การสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถรองรับการใช้งานจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญในยุคดิจิทัล บริการคลาวด์จาก AWS มีโซลูชันที่เรียกว่า “Load Balancer” เพื่อช่วยกระจายการรับส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ระบบมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับการขยายตัวได้ดีมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Load Balancer แต่ละประเภทที่ AWS ให้บริการ พร้อมแนะนำคุณสมบัติเด่นและการใช้งานในแต่ละกรณี
Load Balancer คืออะไร?
Load Balancer เป็นระบบที่ใช้ในการกระจายการรับส่งข้อมูลหรือ “โหลด” จากผู้ใช้งานไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์หลายๆ เครื่องตามที่กำหนดไว้ โดยสามารถช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์หลัก และทำให้แอปพลิเคชันมีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น สามารถรองรับผู้ใช้จำนวนมากได้โดยไม่ทำให้ระบบเกิดความล่าช้าหรือดาวน์
AWS มีบริการ Load Balancer หลักๆ อยู่ 4 ประเภท ได้แก่
- Application Load Balancer (ALB)
- Network Load Balancer (NLB)
- Gateway Load Balancer (GWLB)
- Classic Load Balancer (CLB)
แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน มาดูรายละเอียดของแต่ละประเภทกันครับ
1. Application Load Balancer (ALB)
Application Load Balancer (ALB) เป็น Load Balancer ที่ทำงานในระดับ Application Layer (Layer 7) ตาม OSI Model เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการการกระจายโหลดแบบ HTTP และ HTTPS สามารถทำการ routing ตามเนื้อหา (Content-based routing) ได้ และรองรับการเชื่อมต่อกับบริการอื่นๆ บน AWS ได้ดี เช่น Lambda, ECS และ Fargate
คุณสมบัติเด่นของ ALB
- รองรับ HTTP และ HTTPS
- ทำการ routing ตามเนื้อหา เช่น path-based และ host-based
- รองรับ WebSocket ทำให้การเชื่อมต่อข้อมูลเป็นแบบ real-time
- สามารถทำงานร่วมกับ AWS WAF (Web Application Firewall) ช่วยป้องกันการโจมตีเช่น SQL Injection หรือ DDoS ได้
เหมาะสำหรับ
- แอปพลิเคชันที่ต้องการการประมวลผลแบบ HTTP/HTTPS
- เว็บแอปพลิเคชันที่มีการใช้งานแบบ real-time
- แอปพลิเคชันที่มีความต้องการการรักษาความปลอดภัยและความยืดหยุ่นสูง
2. Network Load Balancer (NLB)
Network Load Balancer (NLB) ทำงานในระดับ Network Layer (Layer 4) ซึ่งหมายถึงสามารถจัดการกับ TCP และ UDP connections ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็น Load Balancer ที่เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วและต้องการรองรับการใช้งานที่มีการโหลดสูง
คุณสมบัติเด่นของ NLB
- รองรับ TCP และ UDP
- มีประสิทธิภาพสูง รองรับการเชื่อมต่อจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
- มี IP ที่เป็นแบบ static และรองรับการใช้งาน Elastic IP
- รองรับ TLS offloading ทำให้การเชื่อมต่อมีความปลอดภัยมากขึ้น
เหมาะสำหรับ
- แอปพลิเคชันที่ต้องการความรวดเร็วและเสถียรในการเชื่อมต่อ
- แอปพลิเคชันที่ต้องการการโหลดในระดับสูงมาก เช่น เกมออนไลน์หรือแอปพลิเคชัน IoT
3. Gateway Load Balancer (GWLB)
Gateway Load Balancer (GWLB) เป็น Load Balancer ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการจัดการ traffic ที่ต้องมีการตรวจสอบหรือ routing ผ่าน appliances เช่น firewall, intrusion detection systems (IDS) หรือ intrusion prevention systems (IPS) โดยทำงานอยู่ในระดับ Layer 3 (Network Layer)
คุณสมบัติเด่นของ GWLB
- รองรับการใช้ network appliances เพื่อการตรวจสอบหรือการรักษาความปลอดภัย
- สามารถสร้าง virtual appliances ได้เอง หรือใช้ร่วมกับ appliances จาก AWS Marketplace
- รองรับการใช้งานแบบ autoscaling
เหมาะสำหรับ
- องค์กรที่ต้องการปรับใช้ network appliances ร่วมกับ Load Balancer
- แอปพลิเคชันที่ต้องการการตรวจสอบความปลอดภัยและการเฝ้าระวังการโจมตีในระดับสูง
4. Classic Load Balancer (CLB)
Classic Load Balancer (CLB) เป็น Load Balancer รุ่นเก่าของ AWS ที่ทำงานได้ทั้งในระดับ Application Layer (Layer 7) และ Network Layer (Layer 4) ซึ่งสามารถใช้กับโปรโตคอล HTTP, HTTPS, TCP, และ SSL โดย CLB อาจมีความยืดหยุ่นในการใช้งานน้อยกว่า Load Balancer ประเภทใหม่ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น
คุณสมบัติเด่นของ CLB
- รองรับการทำงานได้ทั้ง HTTP, HTTPS, TCP และ SSL
- ทำงานได้ทั้ง Layer 4 และ Layer 7 แต่ไม่มีคุณสมบัติที่ครบถ้วนเท่ากับ ALB หรือ NLB
- เหมาะสำหรับการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน
เหมาะสำหรับ
- ระบบเดิมที่ยังใช้งาน CLB อยู่
- แอปพลิเคชันที่ไม่ต้องการคุณสมบัติการ routing หรือต้องการความปลอดภัยเพิ่มเติม
การเลือกใช้งาน Load Balancer บน AWS
การเลือกใช้งาน Load Balancer บน AWS นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของแอปพลิเคชันและระดับของการรักษาความปลอดภัย รวมถึงจำนวนการเชื่อมต่อที่ต้องการรองรับ
- หากแอปพลิเคชันของคุณต้องการการกระจายการใช้งานที่ซับซ้อนและมีการรักษาความปลอดภัยสูง Application Load Balancer จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
- ถ้าคุณต้องการประสิทธิภาพสูงในการรับส่งข้อมูลและการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว Network Load Balancer จะเหมาะกับคุณ
- ในกรณีที่แอปพลิเคชันต้องการการเชื่อมต่อผ่าน firewall หรือ IDS/IPS Gateway Load Balancer จะเหมาะสมที่สุด
- แต่ถ้าระบบของคุณยังคงใช้ Classic Load Balancer อยู่ และยังไม่ต้องการคุณสมบัติขั้นสูง การใช้งาน CLB ต่อไปก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี
สรุป
AWS มี Load Balancer หลายแบบที่สามารถเลือกใช้ตามความต้องการของแอปพลิเคชัน ซึ่งการเลือกใช้แต่ละประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน ประสิทธิภาพที่ต้องการ และระดับความปลอดภัยที่ต้องการให้กับระบบของคุณ การทำความเข้าใจคุณสมบัติและความแตกต่างของ Load Balancer แต่ละประเภทจะช่วยให้คุณสามารถเลือกใช้บริการได้อย่างเหมาะสม